#แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย
– ตะลุย บุโรพุทโธ – บาหลี –

🎒 #แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย 🎒
– ตะลุย บุโรพุทโธ – บาหลี – ภูเขาไฟโบรโม่ –
(ไม่เหมาทัวร์ – ไม่เหมารถจิ๊บ )
💸 ทั้งหมด 17,460 บาท💸
10 เมษายน 2560 – 17 เมษายน 2560 (8 วัน 7 คืน)
——————————————————————————
📋 #คู่มือและข้อมูลแบบละเอียด 📋
#ข้อควรรู้
1. สกุลเงินของ อินโดนีเซียคือรูเปียส
2. ที่สนามบินดอนเมืองไม่ค่อยมีเงินรูเปียสให้แลก แนะนำให้แลกจาก Superrich หรือร้านแลกเงินย่านสะพานควาย
3. บัตรเอทีเอ็สามารถนำไปกดที่อินโดนีเซียได้ (ต้องเป็นบัตรที่มีสัญลักษณ์ Visa หรือ Master card )เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 50,000 รูเปียส อัตราแลกเปลี่ยนพอๆ กับแลกจาก Superrich
4. บุโรพุทธโธอยู่บนเกาะชวา ใกล้กับ เมือง Yogyakatar อยู่ในโซนชวากลาง (Central Java)
5. บาหลีเป็นเกาะที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะชวา
6. ภูเขาไฟโบรโม่ ตั้งอยู่ใกล้เมือง Surabaya ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 4 ชั่วโมง อยู่ในโซนชวาตะวันออก (East Java)
7.คนอินโดนีเซียนิยมเดินทางด้วยเครื่องบินกันมาก ราคาตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ ไม่ต่างกับค่ารถไฟ (บางครั้งเครื่องบินถูกกว่ารถไฟ)
8. ชื่อสนามบินตามเมืองต่าง ๆ นั้น ตั้งชื่อตามบุคคลสำคัญของประเทศ
9. สนามบิน Adi Sutjipto Airport (Yogyakatar) ฝั่งระหว่างประเทศมีขนาดเล็กกว่าฝั่งภายในประเทศมาก ๆ
10. สนามบินทั้งสามเมืองที่ไปมา มี wifi ให้ใช้ฟรี เร็วและแรงมาก
11. การเชคอินในสนามบินที่อินโดนีเซียจะมีคนมาตรวจเราตั้งแต่หน้าประตูเข้า ต้องเตรียมตั๋วที่ปริ้นมา หรือตั๋ว E-ticket ในมือถือโชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูด้วย
12. เนื่องจากคนอินโดนีเซียนิยมเดินทางด้วยเครื่องบินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรเผื่อเวลาในการไปเชคอินไว้พอสมควร
13. น้ำดื่มสามารถพกติดตัวขึ้นเครื่องได้ (เฉพาะการเดินทางภายในประเทศ)
14. Gate ที่นั่งรอขึ้นเครื่องที่สนามบินต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่จะไม่ระบุหมายเลข Gate ที่แน่นอน (เค้าจะให้เราไปนั่งรอตรงห้อง waiting) เราต้องคอยฟังและดูเอาเองว่าเที่ยวบินของเรานั้นขึ้นเครื่องที่ Gate ไหน เที่ยวบินจะเยอะมาก ๆ จากที่นั่งดู เครื่องออกทุกๆ 10-20 นาที
15. หากนั่งเครื่องบินจากบาหลีมาสุราบายา ถ้าอยากเห็นภูเขาไฟโบรโม่จากบนเครื่องบินให้นั่งริมหน้าต่างฝั่ง A
16. รถแท็กซี่ที่น่าไว้ใจคือรถแท็กซี่ของ Bluebird (วิธีคำนวณราคาค่าแท็กซี่แบบคร่าวๆ ให้ ใช้ Google map เสิชหาเส้นทาง จะมีราคาแท็กซี่ที่คำนวณจาก Grab , Uber ให้เราใช้เป็นแนวทาง)
17. ที่ประเทศอินโดนีเซียก็ต่อต้าน Grab, Uber เช่นกัน แต่จะมี app เรียกรถของ Bluebird สามารถใช้ได้ค่ะ
18. เวลาติดต่อแท็กซี่ให้สอบถามก่อนด้วยว่า รวมค่าที่จอดรถ และค่าทางด่วนแล้วหรือยัง
19. สนามบิน Juanda Airport ที่เมือง Surabaya มีสอง Terminal คือ International และ Domestic ซึ่งอยู่ไกลกันมาก International อยู่ Terminal 2 ส่วน Domestic อยู่ Terminal 1 (เวลาขึ้นรถแท็กซี่ หรือนั่งรถประจำทางมาลงให้ดูให้ดีก่อน)
20. เวลาที่ Yogyakarta และ Surabaya เท่ากับที่เมืองไทย ส่วนที่ Bali และ Kaula Lumpur เร็วว่าไทย 1 ชั่วโมงค่ะ
21. มีเวปจองรถไฟของอินโดนีเซียที่รับบัตรเครดิตของชาวต่างชาติในการจองออนไลน์ สามารถเลือกรอบรถ ประเภทตู้ และที่นั่งได้ เมื่อจองเสร็จแล้วสามารถไปกดตั๋วตัวจริง จากตู้ Check-in Automatic ที่สถานีรถไฟได้เลย (สะดวกสะบายมาก)
22. รถไฟอินโดนีเซียจะมี 3 แบบ คือ Economy, Business และ Excusive (มีแอร์ – เบาะปรับเอนได้) ราคาก็จะแตกต่างกันพอสมควร
23. สถานีรถไฟที่ Surabaya มีหลายสถานี ตอนจะนั่งรถไปให้แจ้งให้ดีว่าชื่อสถานีอะไร สถานีรถไฟที่เดินทางไปเมืองใหญ่ๆ คือสถานี Gubeng Train Station (ถ้าจองตั๋วออนไลน์มาล่วงหน้าให้ดูว่า เราต้องขึ้นรถที่สถานีไหน)
24. รถไฟอินโดนีเซียสะอาด และตรงเวลามาก

——————————————————————————
📷 ภาพถ่ายโดย 📷
– IPhone 7 plus
– App ตกแต่ง Snapseed
—————————————————————————–
#รายละเอียดการเดินทาง
กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ – ยอร์คจากาต้า – บาหลี – สุราบายา

#Day1 : 10 เมษายน 2560 : กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์
– นั่งเครื่องบินเครื่องบิน Bangkok – Kuala Lumpur (AK889) : 20.20- 23.30 AirAsia
– ถึง Kuala Lumpur นั่ง Sky Bus : KLIA2 Airport – KL Sentral
– จาก KL-Sentral นั่งแท๊กซี่ไปที่พัก Travel hub high street Hostel (China Town)
– เข้าที่พักย่านไชน่าทาวร์ เดินหาของกิน เข้านอน

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day2 : 11 เมษายน 2560 : กัวลาลัมเปอร์ – ยอร์คจากาตาร์
– ตื่นเช้ากินอาหารเช้าที่ร้าน 何九茶店 Petaling Street เป็นไข่ลวก ขนมปังนึ่ง ราคาไม่แพง ใกล้ๆ ที่พัก
– เดินเล่น Street Art ใกล้ๆ ที่พักเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Central Market กลับมาที่พัก ขึ้นไปชมวิวบนดาดฟ้าของ Hostel
– เชคเอ้าท์ ขึ้นรถไฟฟ้า LRT จาก Pasar Seni – Kl Sentral
– นั่ง Sky Bus : KL Sentral – KLIA2 Airport
– นั่ง เครื่องบิน Kuala Lumpur – Yogyakarta (AK348) : 15.15- 16.50 AirAsia
– Rio เพื่อนชาวอินโดนีเซียมารับที่สนามบิน Adi Sutjipto Airport – Yogyakarta
(Rio ขับรถให้โดยที่เราออกค่าเช่ารถและ ค่าน้ำมันเอง)
– รับประทานอาหารเย็นที่ร้าน The House Of Raminten ร้านนี้จะร่วมอาหารพื้นเมืองของ Yogyakarta เอาไว้หมดเลย บรรยากาศตกแต่งด้วยดอกไม้และมีความหอมจากอโรม่า ที่นั่งเป็นแบบนั่งกับพื้น อาหารตั้งบนโต๊ะเตี้ยๆ ราคาไม่แพง
– ยามดึกไปเที่ยวชมย่าน Alu Alun Kidul เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีบริการรถ Bling Bling Car ตกแต่งด้วยสีสันจากแสงไฟ และตัวการตูน ตั้งแต่คิดตี้ โดเรม่อน ปิกาจู
– ทดสอบความท้าทายด้วยการปิดตาเดินตรงไประหว่างต้นไม้ใหญ่ สองต้นชื่อว่า “Beringin”
คนที่นี่เชื่อว่า หากสามารถเดินผ่านช่องตรงกลางระหว่างต้นไม้ทั้งสองได้ สิ่งที่อฐิษฐานจะเป็นจริง หากทำไม่ได้แปลว่าใจยังไม่นิ่งพอ แต่ห้ามแอบดูเด็ดขาด
– เข้าที่พัก Adhisthana Hotel

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day3 : 12 เมษายน 2560 : บุโรพุทโธ – ปรัมบานัน
– ตื่นตั้งแต่ 2.30 ล้างหน้าแปรงฟัน 3.00 ออกเดินไป ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่บุโรพุทโธ
📌การเข้าชมบุโรพุทโธ โดยปกติจะเริ่มขายบัตรตอน 6.00 (พระอาทิตย์ ขึ้นเวลา 05.40)
📌หากเราต้องการดูพระอาทิตย์ขึ้นเราต้องมาตั้งแต่ก่อนเวลานี้และไปซื้อบัตรผ่านช่วงเวลา 04.00 ที่ manohara hotel(โรงแรมอยู่ในเขต บุโรพุทโธ)
📌เราจะสามารถเข้าไปได้ตอน 4.30 และขึ้นไปจับจองดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้ก่อนเวลา 05.40
– เสร็จจากบุโรพุทโธ เดินทางกลับเข้าเมืองระหว่างทางแวะวัดเล็กๆ หนึ่งแห่งชื่อวัด Mendut เป็นวัดแบบพุทธ มีต้นไทรใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของวัด
– กินมื้อเช้าที่ร้าน Soto Pak Sabar : เป็นร้านขายโซโตซาปีหรือโซโตเนื้อวัว
โซโต (อินโดนีเซีย: soto) เป็นซุปแบบพื้นเมืองในอาหารอินโดนีเซีย ใส่เนื้อและผัก ในบางครั้งจัดเป็นอาหารประจำชาติ มีรับประทานตั้งแต่สุมาตราไปจนถึงปาปัว โดยมีความแตกต่างกันมากมีตั้งแต่ขายข้างถนนไปจนถึงในภัตตาคาร ตอนแรกที่ได้กลิ่น เหมือนเตี๋ยวเนื้อเลย แต่กินกันข้าว และมันฝรั่ง
ราคาชามละประมาณ 17000 – 20000 IDR
– ไปเรียนทำผ้าบาติก ที่ร้าน Seno Batik n Painting : ที่นี่จะสอนตั้งแต่เริ่มวาดโครงรูป เขาจะให้แผ่นผ้ามา 1 ผืน และให้เราวาดรูปตามใจชอบ จากนั้นก็จะเริ่มลงแวกซ์และลงสี โดยที่เค้าจะสอนเราทุกขั้นตอน มีอาหารว่างและน้ำดื่มบริการฟรีตลอด เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 4 ชั่วโมง
– กินมื้อกลางวันที่ร้าน Gudeg Yu Djum : ข้าวสวย เสิร์ฟพร้อมกับไก่ทอด ไข่พะโล้ หนังวัวทอด เป็นอาหารพื้นเมืองประจำเมืองยอคย่าและชวากลาง. แกง Gudeg หรือเรียกว่าแกงขนุนก็เพราะเป็นแกงที่ทำมาจากลุกขนุนกับกระทิเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแกง Gudeg จะมีรถชาติหวานแบบชาวชวา ราคาชามละประมาณ 17000 – 20000 IDR
– ไปกินไอติม Gelato ที่ร้าน Tempo Gelato Yogyakarta.: มีทั้งแบบเป็นถ้วยและแบบเป็นโคน เรากินแบบโคนราคาอันละ 25000 IDR
– ไปชม Prambanan วัดฮินดูขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะชวา
📌การใช้บัตรนักศึกษาสามารถลดค่าเข้าได้ครึ่งราคา
– กลับที่พักอาบน้ำออกไปกินมื้อเย็นที่ร้าน AgliOo! Pizza And Pasta ราคาไม่แพง ร้านบรรยากาศ แบบ Bar & Restaurant กิน Nachos กับเบียร์ 1 ขวด รวมกันราคา 50000 IDR
-ตกดึกออกไปชมวิว ที่ Bukit Bintang หรือ Star Hill สถานที่วัยรุ่นยอร์คยาการ์ต้านิยมไปนั่งชมวิวเมืองจากมุมสูง และนั่งกิน Indomie
– กลับเข้าที่พัก นอนหลับ

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day4 : 13 เมษายน 2560 บาหลี – อุบุด
– 5.30 Rio มารับไปส่งสนามบิน Adi Sutjipto Airport – Demostic
– 07.25 ออกเดินทางสู่บาหลี เทียวบิน (JT-560) : Lion Air
– 09.40 เดินทางถึงสนามบิน Ngurah Rai International Airport
– นั่งแท๊กซี่ไป Ubud เรียกแท๊กซี่จากในสนามบินเพราะสอบถามราคาแล้วไม่แพงกว่าที่เรากะไว้มาก ประกอบกับอากาศค่อนข้างร้อน เราเลยไม่ได้ออกไปเรียกข้างนอก
– ถึง Ubud เชคอินเข้าที่พัก at Nyoman Karsna Bungalow
– ตอนแรกเราตั้งใจว่า เราจะปั่นจักรยานเที่ยว Ubud ตามรอย Julia Robert จากภาพยนต์เรื่องดัง “Eat Pray Love” แต่เราพบว่าไม่มีร้านให้เช่าจักรยานเลยมีแต่ขายเป็นแพคเกจทัวร์ หรือให้เช่าเป็นมอเตอร์ไซค์แทน ด้วยที่เราไม่มีใบขับขี่สากล และไม่มีความชำนาญพอเลยตัดสินใจใช้วิธีเดินแทน
– เดินไปกินอาหารกลางวันที่ร้านข้าวหน้าหมูหัน Warung Babi Guling Ibu Oka ด้วยตั้งใจว่ามาถึงที่นี่ต้องได้กินสักครั้ง เรามาถึงร้านประมาณ 13.30 พนักงงานร้านแจ้งว่า หนังหมูกรอบหมด!!!!!
OMG มันคือไฮไลท์ของวันนี้เลยนะเธอ หนังหมูกรอบๆ ติดมันนิดๆ กัดเข้าไปแล้วชุ่มอยู่ตรงมุมปากที่เราฝันมาตลอดทางนั่งรถจากสนามบิน แต่น้องพนักงานก็น่ารักค่ะ ให้หนังปลามาทดแทน
📌น้องพนักงานแนะนำว่าควรมาถึงก่อน 13.00 ไม่งั้นหนังหมูกรอบจะหมดก่อน
– หลังกินอาหารกลางวันเดินไปเยี่ยมชม Ubud Royal Palace & Ubud Traditional Art Market และ Pura Taman Sarasw
– เดินไป Trekking ที่ Campuhan Ridge Walk (ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร)
📌วิธีการไป
– หากตั้งต้นที่ Ubud Market ให้หันหน้าเข้าหาถนนและเดินไปทางซ้าย เดินไปตามถนนอย่างเดียวไม่ต้องเลี้ยวไหน จนเห็นป้าย โรงแรม IBAH Hotel จะมีซอยเล็กๆ ข้างๆ โรงแรม ให้เดินเข้าไปในซอยนั้นและเดินลงไปเรื่อย จะมีป้าย Karsa Kafe ให้เดินตามป้ายได้เลย (เดินไปตามทางไม่ต้องคิดอะไรมาก) เดินไปเรื่อยๆ จะเป็นทางเดินขึ้นเขาวิวบนนั้นสวยงามมาก ๆ เดินขึ้นเขาไปตามทางอิฐสีเทาและทุ่งหญ้าก็จะเข้าสู่หมู่บ้าน Bangkiang Sidem ระหว่างทางจะผ่านท่งนา สองข้างทางมีเพิงขายของเป็นระยะๆ ช่วงเข้าหมู่บ้านก็จะเห็นบ้านแบบบาหลีแท้ๆ ปราศจากนักท่องเที่ยว
– แวะนั่งพักผ่อนใจ ที่ร้าน Karsa Kafe ฝันไว้ว่าจะมากินน้ำมะพร้าวลูกโตๆ แต่พนักงงานก็แจ้งว่า วันนี้ไฟดับ รับเป็นน้ำอัดลมแทนได้ไหม ก็ต้องได้นะสิคะ 555 นั่งชมวิวนาขั้นบันได พร้อมจิ๊บน้ำ Sprite แสงอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน
– เดินกลับลงมาทางเดิมเราเดินลงมาพร้อมพระอาทิตย์พอดี วิวสวยมากบรรยากาศแบบสดชื่น
– กินข้าวเย็นที่ร้าน Arang Sate Bar Ubud : เป็นร้าน Sate แบบฟิวชั่น ร้านบรรยากาศแบบโมเดิร์นเป็น Bar ด้วย รสชาติอร่อย แต่ราคาแพงพอสมควร
– 20.00 แวะดูหนังที่โรงหนังเล็กๆ น่ารัก นามว่า Paradiso Cinema & café Ubud ราคาตั๋ว 60000 IDR เราสามารถสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มรับประทานระหว่างดูหนังได้ โดยตั๋วหนังสามารถนำไปเป็นคูปองแทนเงินสดสำหรับค่าอาหารได้ด้วย วันนี้โรงหนังฉายเรื่อง American Hustle มี subtitle English ให้
– ดูหนังจบกลับที่พักเข้านอน

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day5 : Ubud – Kintamani – Bluepoint beach – Uluwatu
– 06.00 Wira หนุ่มบาหลีที่เรานัดไว้มารับที่โรงแรมพร้อมเชคเอ้า (วันนี้เราเหมารถ 1 วัน เพราะเดินทางไปไกลจากตัวเมือง)
– 07.00 ถึงน้ำตก Tibumana Waterfall น้ำตกนี้ตั้งอยู่ในเขต Bangli บรรยากาศทางไปน้ำตกเป็นแบบบาหลีดั้งเดิม เป็นถนนเล็กๆ สองข้างทางเป็นทุ้่งนาและต้นมะพร้าว (แบบในหนัง Eat Pray เลยหล่ะ) ทางเดินลงน้ำตก ต้องลงบันไดไปประมาณ 500 เมตร จะเจอน้ำตก ที่มีจุดเด่นตรงที่น้ำไหลลงมาเหมือนเป็นเส้นเดียว ลงมาในแอ่งน้ำสีเขียวด้านล่าง เงียบสงบและสสวยงามมาก
📌ควรมาแต่เช้าก่อน 8.00 เพราะจะยังไม่มีคนมา ทำให้เราถ่ายรูปได้อย่างอิสระ

– 09.00 ถึงน้ำตก Tukad Cepung Waterfall น้ำตกนี้ตั้งอยู่ในเขต Bangli เหมือนกัน จากจุดจอดรถเดินลงบันไดไปประมาณ 500 เมตร จากนั้นก้เดินเป้นทางในป่าอีกประมาณ 800 เมตร จุดที่ต้องระวังคือตรงทางลงอันสุดท้ายจะค่อนข้างชันและลื่น (ไม่ต้องกลัวหลงมีป้ายบอกตลอดทาง)
น้ำตก Tukad Cepung มีจุดเด่นตรงที่เป้นน้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผ้าของถ้ำ ทางเดินเข้าไปเราจะต้องเข้าไปในถ้ำก่อน และสามารถมองเห็นน้ำตกได้ตั้งแต่ทางเข้าถ้ำ (สวยงามแปลกตา)
– 11.30 กินมื้อเช้าควบมมื้อกลางวัน แบบบุฟเฟต์ที่ร้าน Batur Sari restaurant พร้อมชมวิวภูขา Batur และทะเลสาป Danu แต่เราโชคไม่ค่อยดีที่ฝั่งภูเขาไฟและทะเลสาปท้องฟ้าค่อนข้างมัวเลยได้รูปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่บรรยากาศดีมากค่ะ
📌อาหารค่อนข้างเค็มทุกเมนู เทียบกับราคา 120000 IDR แล้วไม่คุ้มค่ากับรสชาติแต่วิวสวย เอามาหักลบกันก็โอเครค่ะ
– 13.00 เที่ยวชม Pura Tirta Empul บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
– 14.30 แวะดูนาขั้นบันได Tegalalang Rice Terrace
– 16.30 ถึง Blue point beach เดินเล่นชายหาด ดูวิวยามพระอาทิตย์ใกล้ตก กินน้ำแข็งใสเจ้าดัง Nalu Bowls
– 17.30 ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ Uluwatu Temple
📌ข้อควรระวังลิงที่นี่ค่อนข้างอันตรายและชอบขโมย ให้ระวัง มือถือ กล้อง และแว่นตา เราเห็นลิงดึงแว่นตาออกจากหน้าของนักท่องเที่ยว ต่อหน้าต่อตาเลยค่ะ
– 19.30 กินข้าวหน้าหมูหัน (babi guling) ที่ร้านข้างทางแถวตลาด (เนื่องจากเราเล่าให้ Wira ฟังว่าเมื่อวานไปกินที่ร้านดังแล้วหมูกรอบหมด Wira gลยพาเราไปกินร้านของคนท้องถิ่นเลย อร่อยมากและราคาถูกกว่าร้านเจ้าดัง เกือบเท่าหนึ่งเลยค่ะ
– 21.00 เข้าที่พัก H-ostel Kuta Bali จิบเบียร์เล็กน้อย ก่อนเข้านอน

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day6 สุราบายา – โพรโบลิงโก – เจโมโร่ ลาวัง(โบรโม่)
– 03.30 เชคเอ้าออกจากที่พัก ให้โรงแรมเรียกรถแท็กซี่ให้เพื่อไปสนามบิน โชคดีได้ฝรั่ง 1 คนมาหารค่าแท็กซี่ด้วยเลยประหยัดลงไปนิดหนึ่ง
– 04.00 ถึงสนามบิน Ngurah Rai Airport (Demostic) ในตั๋วที่เราจองจาก Travelloka แจ้งว่าเครื่องออก 06.10 แต่เมื่อมาถึงสนามบิน แจ้งว่าเครื่องออก 07.00 (Traveloka ไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงเวลาให้เรา) ทำให้เรามาถึงก่อนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และเป็นกังวลใจว่าเราอาจจะไม่ทันเวลารถไฟจาก Surabaya – Probolinggo ที่เราจองตั๋วและจ่ายเงินล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว
– ออกเดินทางไป Surabaya (JT-929) : 07.00 – 07.00 Lion Air(เวลาที่บาหลีเร็วกว่า Surabaya 1 ชั่วโมง)
– 07.00 ถึงสนามบิน Juanda Airport, Terminal 1 จากนั้นนั่ง Taxi ของ Bluebird ต่อไปยังสถานีรถไฟ Surabaya Gubeng Train Station ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปปสถานีรถไฟประมาณ 45 นาที (ขึ้นทางด่วน)
– 08.00 ถึงสถานีรถไฟ ออกตั๋วรถจากตู้กดอัตโนมัติ ซื้อ Rotio กินเป็นมื้อเช้า (เป็น Bun ทรงกลมแบบ Mister Bun)
– 09.00 รถไฟออกจาก Surabaya ไป Probolinggo
📌 ขบวน Mutiara Timur Siang 87 Executive 09:00Surabaya Gubeng (SGU) – 10:56Probolinggo (PB)

– 11.00 เดินทางถึง สถานี Probolinggo Train Station (Stasiun Probolinggo)
– จากสถานีรถไฟนั่งรถโดยสารไปสถานีรถบัส Bayuangga Bus Terminal

#เน้นตรงนี้ #ขีดเส้นใต้ไว้เลย
📌รถจากสถานีรถไฟ Probolinggo ไปสถานีรถบัส จะเป็น มินิแวนสีเหลือง (จะมีเขียนข้างรถว่า Argot) – จอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ รถนี่จะเป็นลักษณะคล้ายๆรถรอบเมือง หรือรถแดงเชียงใหม่ วิธีการขึ้นคือแจ้งว่าต้องการไปลงที่ไหนและตกลงราคาให้เรียบร้อย และให้จ่ายเงินตอนถึงที่หมายเท่านั้น อย่าจ่ายเงินก่อนเด็ดขาด
📌ลงรถไฟมาแล้วแนะนำอย่าคุยกับใครเด็ดขาด ให้เดินตรงมาที่ขึ้นรถ Argot อย่างเดียว (เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องการหลอกลวงนักท่องเที่ยว) จะมีคนมาหลอกให้ไปขึ้นรถของยริษัททัวร์และจะโดนฟันราคา
📌แจ้งคนขับรถว่าจะไป Bayuangga Bus Terminal (ไม่ควรบอกว่าจะไป Bromo เพราะคนขับรถจะพาไปบริษัททัวร์อีกที่หนึ่งและจะโดนฟันราคา)
📌 เราแจ้งคนขับว่าจะไปสถานีรถบัส แต่มีกลุ่มคนจีนอีก 6 คน บอกคนขับว่าจะไป โบรโม่ ทำให้คนขับพาพวกเราไปยังบริษัททัวร์แห่งหนึ่งและโกหกว่า ที่นี่คือท่ารถไปโบรโม่ เรายืนกรานว่าไม่ใช่จะไปสถานีรถบัสเท่านั้น คนขับก็ยื้ออยู่นาน แต่สู้การรวมพลังของพี่น้องชาวไทยและชาวจีนไม่ได้ในที่สุดคนขับก็ยอมออกรถ แต่ก็ไม่ยอมไม่ส่งตรงท่ารถบัสอยู่ดี ไปส่งตรงบริษัททัวร์ที่อยู่เยื้องๆ ท่ารถ กลุ่มคนจีนเริ่มโวยวาย เราเลยบอกคนจีนว่า เด๋วเราลงกันก่อนดีกว่าและเดินข้ามถนนเอาจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับแก๊งพวกนี้อีก)
– เมื่อถึงท่ารถบัสภารกิจของเรายังไม่สิ้นสุด ตอนนี้กลุ่มเราจาก 2 คนเพิ่มขึ้นเป็น 8 คน เราเดินข้ามถนนมาถึงตรงหน้าทางเข้าสถานีรถบัส แต่เราไม่ต้องเข้าไปในสถานีรถบัสนะคะ ท่ารถไปโบรโม่จะไม่ได้อยู่ในสถานีรถบัส
#ให้ใช้วิธีการเดินดังนี้
📌ยืนอยู่บนถนนใหญ่ และหันหน้าเข้าหาสถานีรถบัส จากนั้นเดินไปทางขวามือประมาณ 100 เมตร จะเจอท่ารถมินิแวนไปโบรโม่ (หรือที่เรียกว่าหมู่บ้าน Cemoro Lawang)
📌 รถมินินแวนจะเป็นสีเขียวและน้ำเงิน เป็นรถเก่าๆ
📌 ถ้ามองหาไม่เจอให้เปิด GPS ไปที่ Depot Marinda Warung ท่ารถไปโบรโม่จะอยู่บริเวณนี้

– 11.45 เราก็เดินมาถึงท่ารถมินิแวนไปโบรโม่ สอบถามราคารถคนขับรถแจ้งว่าคนละ 35,000 IDR แต่ต้องรอคนเต็ม 15 เท่านั้นรถถึงจะออก ซึ่งขณะนี้มีแก๊งเรา 8 คน และแหม่มสาวสวย 2 คน (ซึ่งน่าจะนั่งรออยู่นานแล้ว) และสาวชาวอินโดนีเซียอีก 1 คน
คนขับรถเสนอว่า จะให้ออกเลยก็ได้ แต่ต้องเอาราคาค่ารถ 525,000 มาเฉลี่ยกัน คิดได้คนละ 47,000 เราขอต่อเหลือ 40,000 แต่คนขับไม่ให้ คนจีนรีบกระชิบเราว่า รีบตกลงเถอะเพราะจากที่เค้าดูราคามาจากรีวิวนั้นคนละ 50,000 IDR เลยที่เดียว เราเลยรีบตกลงกันทันที รวมคนบนรถ 11 คน เสียค่าโดยสารคนละ 47,000
📌 รถมินิแวนจาก Probilinggo ไป โบรโม่นั้น จะออกรถก็ต่อเมื่อคนเต็ม 15 คนเท่านั้น ค่าโดยสารคนละ 35,000 IDR หากคนยังไม่เต็มและอยากจะเดินทางเลยโดยไม่ต้องรอ ก็ต้องตกลงกันระหว่างผู้โดยสารว่าจะยอมจ่ายส่วนต่างที่เพิ่มเติมไหม โดยเอาราคาเต็มทั้งรถคือ 525,000 มาเฉลี่ยกับผู้โดยสารที่มีอยู่ทั้งหมด
📌 การเดินทางช่วงวันธรรมดาอาจจะเสี่ยงกับการไม่มีใครขึ้นเลยและต้องรอนาน บางคนต้องรอถึง 3-4 ชั่วโมง

– 12.00 รถมินิแวนเดินทางไปโบรโม่ ใช้เวลาเดินทงประมาณ 1.30 ชั่วโมง ระหว่างมีฝนตกลงมาพักหนึ่ง อากาศเริ่มเย็นขึ้น
14.00 เดินทางถึงโบรโม่ (โดยรถจะจอดที่หมู่บ้าน Cemoro Lawang) ที่พักที่เราจองมา (Yog Bromo Homestay)อยู่ตรงท่ารถพอดีเลยสะดวกมากๆ เชคอินเข้าสู่ที่พัก (หมู่บ้าน Cemoro Lawang มีอากาศแบบหนาวเย็นตลอดปี ตอนที่เราไปถึง อุณหภูมิประมาณ 16 องศา ในตอนกลางคืนค่อนข้างหนาวเย็น)
– หลังจากเชคอินเรียบร้อย เราก็เดินไปชมวิวภูเขาไปโบรโม่ ที่หน้าโรงแรม Camera Indah ห่างจากที่พักประมาณ 50 เมตร) กิน Bakso ลูกชิ้นเนื้อลูกโตในน้ำซุป ราคา 20,000 IDR ร้านเป็นรถมอเตอร์ไซค์ต่อพ่วงคล้ายๆ รถขายบะหมี่ป๊อกๆ บ้านเรา นั่งกิน Bakso พร้อมชมวิวภูเขาไฟช่างฟินส์ยิ่งนัก
– ออกเดินไปสำรวจเส้นทางเพื่อการเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นของวันรุ่งขึ้น พร้อมชมความสวยงามของหมูบ้าน Cemoro Lawang เราเดินไปจนถึง จุดชมวิว จุดชมวิว Seruni View Point (เป็นจุดชมวิวที่นัก Trekking นิยมมา) เราเดินขึ้นไปจนถึงข้างบนสุด (จะมีโค้งหลายโค้ง ให้เดินขึ้นไปถึงโค้งสุดท้าย จะเห็นวิวสวยที่สุด) ระยะทางจาก โรงแรม Camera Indah มาถึงประมาณ 3 -4 กิโลเมตร โชคดีท้องฟ้าสดใสได้รูปสวยงามตลอดสองข้างทาง รวมถึงวิวภูเขาไฟโบรโม่ด้วย ใช้เวลาในการเดินทางไปกลับประมาณ 3 ชั่วโมง
– กลับมาชมวิวยามเย็น รอดูแสงพระอาทิคย์ตกดินพร้อมภูเขาไฟโบรโม่ ที่หน้าโรงแรม Camera Indah อีกครั้ง จากนั้นไปกินมื้อเย็นที่ร้าน Bakso ใกล้ๆ กับท่ารถมินิแวน (ร้านนี้ให้ลูกชิ้นเยอะมากๆ ในราคา 20,000 เท่ากันกับร้านป๊อกๆ)
– กินอิ่มกลับเข้าที่พัก อาบน้ำ (ที่พักมีน้ำอุ่นให้) ออกไปนั่งจิ๊บเบียร์ที่ร้านอาหารเยื้องๆ กับที่พัก สั่ง Indomie Goreng มากินแกล้ม OMG ร้านนี้ทำอาหารอร่อยมาก แถมราคาไม่แพง (ผัดหมี่จานละ 20000 IDR แถมน่องไก่ทอดชิ้นใหญ๋และไข่ดาวทอดด้วย) จริงๆ เราตั้งใจจะไปนั่งชิลด์ที่ร้าน Café lawa แต่ไปถึงแล้วคนเต็มเลยกลับมานั่งกินที่ร้านเยื้องๆ กับโรงแรม
– 22.00 รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เราต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด (อาบน้ำรอไว้เลยตั้งแต่ก่อนเข้านอน)

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day7 Seruni View Point 2 – Mt.Bromo Crater – Surabaya

-02.30 ออกเดินจากที่พักไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว Seruni View Point 2 (ทางเดินค่อนข้างมืดควรมีไฟฉายไปด้วย)
📌จุดชมวิวเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นมี 2 จุด
– 1. จุดชมวิว Seruni View Point เป็นจุดชมวิวที่นัก Trekking นิยมมาต้องใช้แรงกายพอสำควรในการเดิน (จุดนี้จะไม่เสียค่าธรรมเนียม) นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ไม่ต้องเบียดกันมาก หามุมถ่ายรูปง่าย
– 2. จุดชมวิว Penanjakan View Point เป็นจุดชมวิวสูงสุด ที่มองเห็นวิวภูเขาไฟโบรโม่ (จุดนี้จะเสียค่าธรรมเนียม 200,000 ในวันธรรมดา และ 300,000 ในวันหยุดสุดสัปดาห์) นักท่องเที่ยวไปเยอะ หามุมถ่ายรูปยาก
#ทั้งสองจุดวิวสวยไม่แพ้กัน
💸 เราเลือกจุดชมวิว Seruni View Point เพราะไม่เสียเงินค่าเข้าและไม่ชอบคนเยอะค่ะ 💸

📌วิธีการเดินทางเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นมี 2 วิธี
1. เช่ารถจิ๊ป สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน ก็เช่ารถจิ๊ปไปจุดชมวิวได้ สามารถแชร์ค่าโดยสารกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นได้
2. จ้างรถมอเตอร์ไซค์หรือ O-jek
3. เดินไปจุดชมวิวด้วยตัวเอง เป็นการออกกำลังกายและประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด เรียกว่าการ Trekking การเดินลัดเลาะไต่ตามเนินเขาไปเรื่อย เหมาะสำหรับใครที่ชอบอะไรแบบลุยๆ แบบทรหดหน่อย
💸 เราเลือกใช้วิธีที่ 3 ค่ะ คือการเดิน Trekking เพราะชอบเดินอยู่แล้วและอากาศเย็นสบาย เพื่อที่ขากลับจะเดินเดินชมบรรยากาศหมู่บ้านด้วยค่ะ 💸

📌วิธีการเดินไปจุดชมวิว จุดชมวิว Seruni View Point
1. เดินไปตามทางโดยเริ่มต้นจากหน้าโรงแรม Camera Indah หันหลังให้โรงแรม และเดินขึ้นเนินไปตามถนน (ใช้ Google map นำทาง พิมพ์ว่า Seruni View Point ก้ได้ ) ถนนจะเป็นคอนกรีตสลับกับถนนลูกรัง
2. เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดชมวิวจุดแรก ตรงนี้จะมีรถมาจอดเพราะจะไม่อนุญาตให้รถขึ้นต่อไปได้ ให้เราเดินต่อขึ้นไปอีกตามถนนคอนกรีต(ทางช่วงนี้จะเริ่มขึ้นเนินชันมากขึ้น) เดินขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวที่ 2
ยังค่ะ!!! การเดินของเรายังไม่จบ ให้เราเดินขึ้นไปอีกจนสุดถนนคอนกรีต จากนั้นให้ฉายไฟมองไปจะมีทางเป็นบันไดอิฐขึ้นไป. ให้เดินขึ้นตามบันไดนั้นไป(ช่วงนี้ทางเดินจะมืดมาก ๆ) ให้เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเหนื่อยหน่อย (พร้อมกับความไม่แน่ใจว่าจะถึงตอนไหน)
3. จุดสังเกตว่ามาถึง จุดชมวิว Seruni View Point 2 แล้วก็คือ จะมีประตูเป็นเสาปูนสีขาว และมีศาลาปูนสีขาว 2 อันตั้งอยู่ เราก็เข้าไปจับจองที่นั่งชมวิวได้ตามสบายใจ โดยภูขาไฟโบรโม่จะอยู่ตรงหน้าพอดี และพระอาทิตย์จะขึ้นอยู่ทางฝั่งซ้าย
4. หากใครอยากได้วิวสวยกว่าและไม่มีผู้คนมาก ให้ปืนเขาขึ้นไปอีก แต่ไม่มีบันไดอิฐให้เราแล้ว ค่อนข้างอันตราย

– เรามาถึงจุดชมวิว Seruni View Point 2 ตอนประมาณเวลา 04.30 ซื้อชาร้อน ๆ มาดื่มเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย จากนั้นก็นั่งรอแสงแรกของวัน วันนี้โชคดีที่มีหมอกแล้วท้องฟ้าแจ่มใสมาก
–พระอาทิตย์ขึ้นตอน ประมาณ 06.00 เก็บภาพบรรยากาศจนพอใจ ก็กลับเดินลงมาตรงโรงแรม Camera Indah (เรากลับมาถึงโรงแรม Camera Indah ตอนประมาณ 07.30)
– จากนั้นเราก้เริ่มเดินลงไปที่ปากปล่องภูเขาไฟด้วยการเดิน

📌#การเดินไปปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่
#วิธีการเดินคือ
1. สังเกตรั้วเหล็กที่อยู่ด้านข้างโรงแรม Camera Indah จะมีตู้คล้ายๆป้อมยามอยู่ และมีช่องเดินลงไป (โดยจะมีป้ายภาษาอังกฤาเขียนว่าห้ามนักท่องเที่ยวเดินลงไป) นั่นแหละค่ะถูกต้องแล้วเดินลงไปทางนั้นเลย
2. เดินลงไปตามทางจะเป็นทางดินค่อนข้างชัน (ประมาณ 45 องศา) ทางนี้จะเป็นสำหรับไว้ให้ม้าเดิน
3. เมื่อลงมาถึงตีนเขา ให้เราเดินตรงไปยังภูเขาไฟโบรโม่ เดินตรงไปอย่างเดียวไม่ต้องเลี้ยวไหน (แนะนำให้พกผ้าปิดปาดมาด้วยเพราะฝุ่นจะเยอะมาก)
4. เราจะเดินมาถึงวัดฮินดูก่อน ซึ่งบริเวณนั้นจะมีรถจิ๊บที่นักท่องเที่ยวจ้างมาจอดอยู่ เราก็เดินไป ระหว่างนั้นจะมีคนขี่ม้ามาเสนอให้เราขึ้นม้า ใครอยากขึ้นก็ได้ตามสบายใจ
5. เมื่อเลยวันฮินดูมาก็เดินขึ้นเนินไปเป้าหมายคือบันได ที่เค้าจะให้เราปีนขึ้นไปบนปากปล่อง (สังเกตไม่ยาก) เมื่อเดินมาถึงยอดบนสุดก็ให้เราทรงตัวให้ดี เพราะทางเดินจะค่อนข้างแคบ (คล้ายสันคมมีดที่เขาช้างเผือก)
– เสียงลาวาที่กำลังเดือดขู่คำรามให้เราได้ยิน เมื่อเรามาถึงข้างบนปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ จากที่ปกติก็กลัวความสูงอยู่แล้ว พูดเลยว่า เมื่อไปถึงข้างบนแล้วขาสั่นมาก ๆ อีกด้านหนึ่งก็เป็นเหว อีกด้านหนึ่งก็เป็นหลุมภูเขาไฟที่ยังมีลาวาเดือดอยู่ มีรั้วกั้นให้แต่รั้นนั้นสูงไม่ถึงเข่า เราเดินไปได้ไม่ไกลนักก็ตัดสินใจเดินกลับ เพราะใจไม่กล้าพอมันหวิวมาก 55555

– จากนั้นเราก็เดินกลับที่พักโดยการใช้เส้นทางเดิม เรากลับถึงที่พักประมาณ 10.00 แล้วก็อาบน้ำเก็บสัมภาระ เชคเอ้าท์
– เดินมาท่ารถ มินิแวนเพื่อนั่งรถกลับไปยัง Probolinggo ถึงท่ารถ คนขับแจ้งว่าตอนนี้มีผู้โดยสารแล้ว 9 คนต้องรออีก 6 คน เราก็เลยนั่งรอ สักพักก็มีคนมีเพิ่มจนเต็ม 15 คน รถออกตอนประมาณ 11.00
– ถึงท่ารถบัส Probolinggo ประมาณ 13.30 เราเดินเข้าไปในสถานีรถบัสเพื่อต่อรถไป Surabaya
#เน้นตรงนี้ขีดเส้นใต้ไว้
📌ที่ท่ารถบัสจะมีคนมาคอยถามเราว่าจะไปไหน อย่าพูดกับใครเด็ดขาด ให้เราเดินเข้าไปตรงชานชาลาที่จอดเลย (ไม่มีการซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถ ให้ไปจ่ายกับกระเป๋ารถหลังจากที่รถออกแล้ว)
📌ที่ชานชาลาจะมีป้ายเขียนไว้ว่ารถไปเมืองไหน ให้เดินขึ้นรถไปได้เลย (อย่าคุยกับใคร)
📌ค่ารถราคา 25000 IDR

– เราขึ้นไปนั่งบนรถบัสได้สักพักรถก็ออกเดินทางไป Surabaya รถบัสจะเหมือนรถปรับอากาศบ้านเรา แต่ที่นั่งจะเป็นสามแถว ต้องเบียดกันพอสมควร
– 15.30 เดินทางมาถึงสถานีรถบัส Surabaya หาข้าวกินแถวสถานี (กิน Soto Ayam)
16.00 ขึ้นรถ Damri Bus ไปสนามบิน Juanda Airport รถจะจอดอยู่ตรงแถวที่เราลงรถบัสที่มาจาก Probolinggo เลย จะมีให้เลือก 2 แบบคือ แบบที่ไป Terminal 1(T1) = ภายในประเทศ กับ Terminal 2 (T2) = ระหว่างประเทศ เนื่องจากเราต้องการบินไปกัวลาลัมเปอร์ เราเลยต้องไป Terminal 2 (T2) ราคาค่ารถ 25,000 ดูให้ดีอย่าขึ้นผิดคันเพราะ Terminal 1(T1) = ภายในประเทศ กับ Terminal 2 (T2) = ระหว่างประเทศ อยู่ไกลกันมากก
– 17.00 เดินทางถึง Juanda Airport Terminal 2 เชคอิน รอขึ้นเครื่อง (นั่งรอประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะมาถึงไว ระหว่างรอ กิน Indomie Goreng ในร้านตรงข้างใน Gate)
– 21.00 เครื่องออกเดินทางไป Kualar Lumpur (AK363) : 21.10- 00.40 Air Asia

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

#Day8 Kualar Lumpur Bangkok-
– 00.40 เดินทางถึงสนามบิน KLIA2 จากนั้นหานอนหลับในมุมสงบ
– 04.00 เชคอินเพื่อเตรียมตัวขึ้นเครื่อง นอนหลับต่อที่ Gate
– 06.40 เครื่องเดินทางกลับกรุงเทพฯ (AK890) 06.40 – 07.50 Air Asia
– 08.00 เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

——————————————————————————
#รายละเอียดค่าใช้จ่าย
💸 ทั้งหมด 17460 บาท💸
(ไม่รวมค่าของฝาก) สมาชิกทั้งหมด 2 คน : ราคาที่เขียนคือราคาต่อคน

💰 อัตราแลกเปลี่ยน : 1 บาท : 376 IDR 💰

1. #ค่าใช้จ่ายสำหรับตั๋วเครื่องบิน
– ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ Bangkok – Kuala Lumpur (Air Asia) 1,658 บาท
– ค่าตั๋วเครื่องบิน Kuala Lumpur – Yogyakarta (Air Asia) 335 บาท
– ค่าตั๋วเครื่องบิน Jogjakartar- Bali (Lion Air) 1,259 บาท
-ค่าตั๋วเครื่องบิน Bali – Surabaya (Lion Air) 1,006 บาท
-ค่าตั๋วเครื่องบิน Surabaya – Kualar Lumpur (Air Asia). 553 บาท

💸รวมค่าตั๋วเครื่องบิน 4,811 บาท 💸

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

2. #ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าเดินทาง
– ค่ารถ Sky Bus : KLIA2 Airport – KL Sentral ไปกลับ 196 บาท
– ค่ารถ Taxi จาก KL Sentral – โรงแรม 82 บาท
– ค่า LRT Pasar Seni – Kl Sentral 11 บาท
– ค่าเช่ารถสำหรับ 2 วัน ที่ Yogyakartar พร้อมน้ำมัน 1,308 บาท
-ค่ารถ Taxi จากสนามบิน Ngurah Rai International Airport ไป Ubud 465 บาท
-ค่าเหมารถบาหลี 1 วัน (6.00 – 20.00) 798 บาท
-ค่าแท๊กซี่จากที่พักไปสนามบิน Ngurah Rai International Airport 93 บาท
-ค่ารถไฟจาก Surabaya – Probolingo ตูู้Executive มีแอร์ เบาะปรับเอนได้ 320 บาท
-ค่ารถ Argot สถานีรถไฟ – สถานีรถบัส 27 บาท
-ค่ารถ Probolingo – Cemoro Lawang ( Bemo Car) 125 บาท
-ค่ารถ Cemoro Lawang – Probolingo 93 บาท
-ค่ารถบัส Probolingo – Surabaya 134 บาท
– ค่า Airport Bus : Purabaya Bus Terminal – Juanda Airport (Terminal 2) 67 บาท
💸รวมค่าเดินทาง 3,719 บาท 💸

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

3. #ค่าใช้จ่ายสำหรับที่พัก
-ค่าที่พัก : Travel Hub High Street Hostel (Kuala Lumpur) 1 คืน 322 บาท
-ค่าที่พัก : Adhisthana Hotel (Yogyakarta) 2 คืน 1,042 บาท
-ค่าที่พัก : (Ubud, Bali) 1 คืน 590 บาท
-ค่าที่พัก : H-ostel (Kuta, Bali) 1 คืน 336 บาท
-ค่าที่พัก : Yog Bromo Homestay (Bromo) 1 คืน 760 บาท
💸 รวมค่าที่พัก 3050 บาท 💸

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

4. #ค่าใช้จ่ายสำหรับค่าอาหาร (กินเยอะ กินเบียร์เกือบทุกคืน) ประมาณ 400 *8 = 3,200 บาท

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

5. #ค่าธรรมเนียมเข้าสถานที่และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
-ค่า SimPATI Telkomsel Net 6 GB 212 บาท
-ค่า Borobudur Sunrise Entrance Fee Ticket 04.00 AM 1,196 บาท
-ค่า Batik Painting Course : 665 บาท
-ค่า Prambanan Entrance Fee Ticket 311 บาท
-ค่าดูหนัง Paradiso Cinema Ubud 160 บาท
-ค่าเข้าน้ำตก TIBUMANA WATERFALL 27 บาท
– ค่าเข้าน้ำตก Tukad Cepung Waterfall 27 บาท
– ค่าเข้า Pura Tirta Empul 39 บาท
– ค่าเข้า Uluwatu Temple 80 บาท
– Get trekking to see sunrise & Mt.Bromo Crater 0 บาท (ใช้เดินไป)
รวมค่าที่ธรรมเนียมและอื่นๆ 2,677 บาท

»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»»

——————————————————————————
#แบกเป้เที่ยวอินโดนีเซีย
#แบกเป้เที่ยวบุโรพุทโธ
#แบกเป้เที่ยวโบรโม่
#แบกเป้เที่ยวบาหลี
#แบกเป้เทียวสุราบายา
——————————————————————————







เรื่องและภาพโดย: คุณ Shabnum Kaewmanee